หน้าแรก


ตำนานประเพณีลอยกระทง






         อีกไม่นานก็จะถึงงานเทศกาลวันลอยกระทง ซึ่งเป็นงานเทศกาลแห่งความสุขและรื่นเริง ลอยกระทงเป็นประเพณีที่มีมายาวนาน บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เรียกได้ว่าเริ่มมีประวัติศาสตร์ชาติไทยขึ้นมาก็มีประเพณีลอยกระทงกันเลยทีเดียว

ประวัติวันลอยกระทงและประเพณีลอยกระทง
          การลอยกระทงมีวัตถุประสงค์ด้วยกัน 2 ประการ คือ


      1. เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท้องที่ถือว่าลอยกระทงเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในโอกาสที่พระพุทธองค์ได้ไปแสดงธรรมในนาคภิภพ และทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที (1) เพราะฉะนั้นการที่บ้านเรามีประเพณีลอยกระทง ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองก็เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในโอกาสนี้

    ส่วนทางเหนือนั้นมีประเพณียี่เป็ง มีทั้งลอยกระทงและลอยโคมขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งบรรจุอยู่ในจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราจึงจุดประทีป ลอยโคม ส่งใจขึ้นไปบูชาพระเขี้ยวแก้วร่วมกับพระอินทร์ที่นำหมู่เทวดาบูชาพระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณีในวันเพ็ญเดือนสิบสองนี้เช่นกัน

      ยี่เป็งสันทราย ได้จัดประเพณีลอยกระทง และลอยโคม ซึ่งเป็นภาพวัฒนธรรมไทยที่งดงามมากในสายตาของชาวโลก และยังได้มีการจัดลอยโคมที่มองโกเลีย และอินเดียเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่งใหญ่มาแล้วด้วย


    2. เพื่อบูชาพระแม่คงคา เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ เพราะมนุษย์เราอยู่ได้เพราะน้ำ ตั้งแต่โบราณมาชุมชนทั้งหลายเวลาสร้างเมือง ต่างก็เลือกติดแม่น้ำ ดังนั้นถึงเวลาในรอบ 1 ปี ก็เลือกเอาวันเพ็ญเดือนสิบสอง ระลึกว่าตลอดปีที่ผ่านมา เราได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต  ขณะที่ลอยกระทงเราก็นึกถึงคุณของน้ำ ไม่ใช่ลอยเฉยๆ ต้องรำลึกว่าต้องรู้จักใช้น้ำอย่างถูกวิธี และใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้ทิ้งขว้าง  ไม่ทำให้น้ำสกปรก ไม่ปล่อยของเสียลงแม่น้ำ เป็นการขอขมาและขอบคุณพระแม่คงคา ไม่ใช่เป็นการไหว้เทวดาพระแม่คงคาแต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ ในฐานะที่เป็นผู้ให้ชีวิตเราความเป็นมาของเทศกาลวันลอยกระทง  





คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้



     1. การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
     2. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทม สินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
    3. การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไป จำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
     4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทาน ทีเมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
     5. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของ พระพุทธเจ้า
     6. กาลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
     7. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้อง ทะเลลึกหรือสะดือทะเล


ประวัติวันลอยกระทงในประเทศไทย


         การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานทีซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแค้วนทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา

การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท

      เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยพระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา ครั้งพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์เมื่อท้าวสักกเทวราชท  ราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จบันไดทองเป็นที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำ การสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ (เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์) รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานทีมีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานทีเพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะบูชา

การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่อง คือ

      1. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ
      2. การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก


ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี

     เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก พระจุฬามณีตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำตำนานการลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยพระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา ครั้งจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำ การสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ลักษณะของกระทงที่ใช้ลอย
   
  1. กระทงใบตอง ปักด้วยเทียน เป็นการบูชาพระสัมาสัมพุทธเจ้าด้วยแสงสว่าง
  2. กระทงโฟม ต่อมามีโฟมก็เลือกใช้โฟม
  3. กระทงสาย ทำจากกะลามะพร้าว ที่ขัดให้สะอาดและหลอมเทียนพรรษาใส่ลงไป     ในกะลาจุดเทียนแล้วลอยลงแม่น้ำ ไหลตามกันเป็นสายตามร่องแม่น้ำปิง ซึ่งมีสันทรายอยู่ใต้น้ำ จึงเรียกกระทงสาย ซึ่งประเพณีของจังหวัดตาก

ความเชื่อของประเพณีลอยกระทง ลอยทุกข์ ลอยโศก
    
ความเชื่อของการลอยกระทงเพื่อลอยทุกข์ ลอยโศกให้ลอยหายไปพร้อมกับกระทงด้วยการตัดเล็บ ผม และเงินใส่ลงไปในกระทง สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่มีมาในในภายหลัง เป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ แต่ความจริงเราไม่สามารถที่จะลอยทุกข์โศกให้หมดไปได้ด้วยการลอยกระทง  ดังนั้นถ้าจะให้ทุกข์โศก โรคภัย เคราะห์ร้ายออกไปด้วย เราต้องสร้างบุญ โดยในตอนกลางวัน ก่อนที่จะไปลอยกระทง เราก็ไปทำบุญที่วัดก่อน แล้วนำบุญนั้นมาอธิษฐานในคืนวันลอยกระทง ด้วยกุศลผลบุญนี้ขอให้ทุกข์โศกโรคภัยทั้งหลายออกไปจากใจของข้าพเจ้า


จุดประสงค์ของการจุดดอกไม้ไฟในวันลอยกระทง

    
        สมัยโบราณเดิมทีเดียวยังไม่มีการจุดดอกไม้ไฟ แต่เป็นการเพิ่มเติมมาทีหลัง เพื่อสร้างความคักคักสนุกสนาน การลอยกระทง เราควรจะนึกถึงเป้าหมายดั้งเดิมของประเพณี คือ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงคุณของน้ำ และบริหารจัดการน้ำอย่างถูกหลัก ขณะเดียวกันให้ระมัดระวังเรื่องเมาสุรา ทะเลาะวิวาท ปัญหาชายหญิง ก็จะเป็นการช่วยอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามไว้



  ประเพณีลอยกระทงจัดตรงกับวันไหน
       ลอยกระทง เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆ ที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆ กัน 
   
   
ประเพณีลอยกระทงมีครั้งแรกในสมัยไหน
      การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา
     


        ประเพณีการลอยกระทงน่าจะเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องมีน้ำเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อพืชพันธ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ จึงมีการลอยกระทงไปตามกระเเสน้ำ เพื่อขอบคุณพระแม่คงคาหรือเทพเจ้าแห่งน้ำ อีกทั้งเป็นการแสดงความคาราวะขออภัย ที่ได้ลงอาบหรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา รักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และเพื่อรู้ถึงคุณค่าของแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตรวมทั้งเป็นการบูชาเทพเจ้าตลอดจนรอยพระพุทธบาท พระเจดีย์จุฬามณี ฯลฯ ตามคติความเชื่อ นำกระทงไปลอยตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในวันลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ หลังจากทำพิธีลอยกระทงแล้ว ก็จัดให้มีการละเล่นรื่นเริ่งสนุกสนาน เช่น การละเล่นพื้นเมือง การเล่นเพลงเรือ รำวง ฯลฯ อันเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ 

       การลอยกระทง ถือเป็นประเพณีที่มีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสนา ทำให้คนในครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน (ทำกระทงลอยน้ำแสดงความกตัญญูต่อน้ำ ระลึกถึงบรรพบุรุษ) เกิดความสามัครสมานสามัคคีพบประสังสรรค์ ร่วมน้ำใจกันทำกระทง สืบทอดศิลปกรรมแสดงฝีมือความคิดประดิษฐ์กระทง สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงด้วยกันในด้านสัง ทำให้รู้สึกว่ารักษาความสะอาด ลอกขุดคูคลอง เก็บขยะ ไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลองในด้านศาสนา ได้มีโอกาสทำบุญให้ทาน สร้างความสงบสุขในจิจใจ ช่วยกันรักษาบำรุงพระพุทธศาสนาให้ยืนยงสืบต่อไปชั่วลูกหลานทางกิจกรรมทางวัฒธรรม ทำความสะอาดบ้านเรือน แม่น้ำลำคลอง ถ้าตื้นเขินก็ทำการขุดลอก จากนั้นมีการทำบุญให้ทาน หังเทศน์ ปฏิบัติธรรม การประดิษฐ์กระทงขนาดต่างๆ นำไปลอยในแม่น้ำ จัดขบวนแห่เล่นสนุก การจุดดอกไม้ไฟ ประทัดพลุ ้ป็นการเฉลิมฉลอง จัดประกวดต่างๆ เช่น การประกวดโคมลอย และนางนพมาส ร่วมด้วยการละเล่นรื่นเริงแบบท้องถิ่นตามอัธยาศัย แต่ควรอยู่ในลักษณะที่เรียบร้อยงดงาม มีวัฒนธรรมที่ดีงาม ขณะเดียวกันควรระมัดระวัง การเล่นสนุกจนเกินขอบเขต คึกคะนองโดยเฉพาะการจุดพลุ ประทัดอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้คน และอาจเกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนได้ การรณรงค์ใช้วัสดุพื้นบ้าน ใบตอง หยวกกล้อย ทำกระทง ไม่พยายามใช้วัสดุย่อยสลายได้ยาก เช่น โพม กระดาษเคลือบโลหะที่จะเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ





                                                             

คลิป VDO สัมภาษณ์ผู้เชียวชาญ

   





ชื่อ      สุจิตรา รอดแก้ว
อายุ    28
อาชีพ พนักงาน กรมศิลปากร

ข้อมูลในการสัมภาษณ์
              สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวความเป็นมา จุดประสงค์ นางนพมาศ เพลงเกี่ยวกับวันลอยกระทง ประเพณีลอยกระทงตามภาคต่างๆของประเทศ มาเริ่มหัวข้อแรกกันเลยดีกว่า มาเป็นมาของประเพณีในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขไทย ซึ่งนิยมกัดกันใน วันเพ็ญ 15 ค่ำของทุกปี ก็จะอยู่ราวๆเดือนพฤศจิกายน ประจุดสงค์หลัก คือ การขอฆมาพระแม่คงคา เป็นการขอบคุณแม่ที่เราใช้ดื่มกินและทิ้งขยะของลงในแม่น้ำ และเชื่อกันอีกว่าเป็นการรอยทุกรอยโสก และลอยสิ่งไม่ดีต่างๆในชีวิต



ชื่อ        สุจิตรา รอดแก้ว
อายุ      28
อาชีพ   พนักงาน กรมศิลปากร

ข้อมูลในการสัมภาษณ์
             เรามาเริ่มในหัวข้อนางงามนพมาศคนแรกของประเทศกันเลยดีกว่า จะสังเกตเห็นได้ว่า มีประเพณีลอยกระทงที่ไหนก็จะมีเวทีประกวดนางนพมาศที่นั้น นางนพมาศคนแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย บิดาชื่อ พระศรีมโหสค รับราชการในตำแหน่งปุโรหิ มารดาชื่อ เรวดี ต่อมานางนพมาศได้รับราชการในสำนักพระร่วงได้รับตำแหน่งเท้าศรีสุดารัตน์ เป็นพระสนมเอกของพระร่วง และนางยังคนคิดประดิษฐ์กระทงดอกบัวเป็นคนแรก นางนพมาศเป็นหญิงสาวสวยงาม มีความรู้ความสามารถรอบด้าน บางตำราเชื่อว่านางนพมาศ เป็นคนบุกเบิกประเพณีลอยกระทง หัวข้อต่อไปเราก็จะมาพูดถึงเพลงในวันลอยกระทง เราก็จะคุ้นหูกับเพลง วันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำคะนองเต็มตะลิ่ง เพลงนี้ชื่อว่าเพลง รำวงลอยกระทง แต่งโยครูแก้ว อฉริยกุน ทำนองโดยครู เอื้อย ขุนทองขนาน แต่งตั้งแต่ปี 2498 ซึ่งก็นานแล้วเหมือนกันค่ะเนี้ย

ชื่อ        สุจิตรา รอดแก้ว
อายุ      28
อาชีพ   พนักงาน กรมศิลปากร


ข้อมูลในการสัมภาษณ์           
             ประเพณีลอยกระทงในภาคต่างๆของประเทศไทย ถ้าพูดถึงแล้วอันดับหนึ่งก็ต้องยกให้กับประเพณียี่เป็ง ซึ่งเป็นของภาคเหนือนะค่ะ ยี่เป็งหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่ ซึ่งในงานนี้ก็จะมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า ซึ่งดูแล้วก็สวยงามในยามค่ำคืน เป็นภาพวัฒนธรรมไทยที่งดงามมากในสายตาชาวโลก ต่อไปเป็นประเพณีกระทงสาย ของจังหวัดตาก คือจะเป็นการลอยกระทงเล็กๆ ไหลเป็นสายตามสายน้ำยาวไปเรื่อยๆ มองดูแล้วก็งดงามไปอีกแบบหนึ่ง อันที่สาม ก็คือประเพณีเผาเทียนเล่นไฟของจังหวัดสุโขทัย มีการจัดขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไลและไฟพะเนียง รวมถึงดอกไม้ไฟชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเชิญชวนให้ร่วมพิธีซื้อตะคัน เผาเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดเสร็จแล้วก็จะนำไปวางบนฐานหรือระเบียงโบสถ์ ทำให้เกิดแสงสว่างระยิบระยับนับร้อยนับพันดวง ต่อไปเลยคนไหนเลยที่ไม่ได้ออกต่างจังหวัด บ้านอยู่ในกรุงเทพ เราก็จะมีงานลอยกระทงเกิดขึ้นที่วัดภูเขาทอง ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดกรุงเทพมหานครของเรา งานนี้ก็จะขึ้นประมาณ 7-10 วัน ในงานก็จะมีการประกวดนางนพมาศ มีมหรสพ ต่างๆ มีของซื้อของใช้ของกินต่างๆมากมาย ยังไงก็ลองไปเดินเที่ยวกันได้นะค่ะ ในช่วงประเพณีลอยกระทง สุท้ายแล้วนะค่ะอยากจะฝากข้อคิดติเตือนใจว่า การลอยกระทงที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่แค่การนำกระทงไปลอยในแม่น้ำเฉยๆ แต่เรายังต้องระลึกถึงบุญคุณของน้ำ ต้องช่วยกันดูแลรักษาแหล่งน้ำ ใช้น้ำแบบประหยัด ไม่ทิ้งสิ่งสกปรกต่างๆลงในแม่น้ำ อีกทั้งวัสดุที่นำมาทำกระทงนั้นควรเป็นวัสดุธรรมชาติ เช่น กาบกล้วย ใบตอง ขนมปัง หรือวัสดุที่ย่อยสลายง่าย  ร่วมด้วยช่วยกันทำนุบำรุงรักษาประเพณีอันดีงามต่างๆที่เป็นของประเทศไทย เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สืบต่อไป ขอบคุณค่ะ 




สรุปหนังสือ 3 เล่ม


 ประเพณีลอยกระทง ประเพณีการลอยกระทงน่าจะเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องมีน้ำเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อพืชพันธ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ จึงมีการลอยกระทงไปตามกระเเสน้ำ เพื่อขอบคุณพระแม่คงคาหรือเทพเจ้าแห่งน้ำ อีกทั้งเป็นการแสดงความคาราวะขออภัย ที่ได้ลงอาบหรือปล่อยสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา รักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้ มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และเพื่อรู้ถึงคุณค่าของแม่น้ำลำคลอง อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตรวมทั้งเป็นการบูชาเทพเจ้าตลอดจนรอยพระพุทธบาท พระเจดีย์จุฬามณี ฯลฯ ตามคติความเชื่อ นำกระทงไปลอยตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธี ให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในวันลอยกระทง เช่น การประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ หลังจากทำพิธีลอยกระทงแล้ว ก็จัดให้มีการละเล่นรื่นเริ่งสนุกสนาน เช่น การละเล่นพื้นเมือง การเล่นเพลงเรือ รำวง ฯลฯ อันเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ วันสำคัญของเรา

 ชุมชน สังคม และศาสนา ทำให้คนในครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน (ทำกระทงลอยน้ำแสดงความกตัญญูต่อน้ำ ระลึกถึงบรรพบุรุษ) เกิดความสามัครสมานสามัคคีพบประสังสรรค์ ร่วมน้ำใจกันทำกระทง สืบทอดศิลปกรรมแสดงฝีมือความคิดประดิษฐ์กระทง สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงด้วยกันในด้านสัง ทำให้รู้สึกว่ารักษาความสะอาด ลอกขุดคูคลอง เก็บขยะ ไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลองในด้านศาสนา ได้มีโอกาสทำบุญให้ทาน สร้างความสงบสุขในจิจใจ ช่วยกันรักษาบำรุงพระพุทธศาสนาให้ยืนยงสืบต่อไปชั่วลูกหลานทางกิจกรรมทางวัฒธรรม ทำความสะอาดบ้านเรือน แม่น้ำลำคลอง ถ้าตื้นเขินก็ทำการขุดลอก จากนั้นมีการทำบุญให้ทาน หังเทศน์ ปฏิบัติธรรม การประดิษฐ์กระทงขนาดต่างๆ นำไปลอยในแม่น้ำ จัดขบวนแห่เล่นสนุก การจุดดอกไม้ไฟ ประทัดพลุ ้ป็นการเฉลิมฉลอง จัดประกวดต่างๆ เช่น การประกวดโคมลอย และนางนพมาส ร่วมด้วยการละเล่นรื่นเริงแบบท้องถิ่นตามอัธยาศัย แต่ควรอยู่ในลักษณะที่เรียบร้อยงดงาม มีวัฒนธรรมที่ดีงาม ขณะเดียวกันควรระมัดระวัง การเล่นสนุกจนเกินขอบเขต คึกคะนองโดยเฉพาะการจุดพลุ ประทัดอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้คน และอาจเกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนได้ การรณรงค์ใช้วัสดุพื้นบ้าน ใบตอง หยวกกล้อย ทำกระทง ไม่พยายามใช้วัสดุย่อยสลายได้ยาก เช่น โพม กระดาษเคลือบโลหะที่จะเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ นางนพมาส นางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์


ในหนังสือวรรณคดีไทยเรื่องนางนพมาสนั้นไม่มีตัวตนจริง เพราะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาอย่างนิยายถ้านางนพมาสจะมีตัวตนอยู่จริง ก็มีแต่บรรดา เทพีนางนพมาส ที่ชนะการประกวดความงามประจำปีตามเวทีประกวดต่างๆ ทั่วประเทศไทย มีพยานแวดล้อมเป็นหลักฐานหลายประการที่ควรเชื่อได้ว่า พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงมีส่วนพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่องนางนพมาส เเละเป็นไปได้มากทีเดียวว่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ของพระองค์หมดทั้งเล่ม ไม่มีหลักฐานว่าสมัยสุโขทัยมีประเพณีลอยกระทง และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒธรรมของแคว้นสุโขทัยก็มิได้เกื้อกูลให้มีประเพณีลอยกระทง บรรดาสระน้ำหรือคูคลองที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองสุโขทัยเขาขุดไว้กักและเก็บน้ำเพื่อกินเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและในยามแล้ง ทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุญการกุศลในระบบความเชื่อต่างๆด้วย ผู้คนทุกชนชั้นในสมัยแคว้นสุโขทัยมิได้ขุดไว้ลอยกระทง ลอยกระทงมีการพัฒนาการแรกๆเป็น ประเพณีราษฎร์ อยู่กับชาวนาบริเวณที่ราบลุ่ม ต่อภายหลังจึงกลายเป็น ประเพณีหลวง ในราชสำนักลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ก่อนมีกรุงศรีอยุธยา เมื่อแรกเรียกกันในสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างรวมๆ กับประเพณีอื่นๆว่าลดชุดลอยโคมลงน้ำ หรือชักโคมแขวนโคมลอยปโคมพระประทีปลงน้ำ เมื่อถึงปลายกรุงศรีอยุธยาจึงเริ่มเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ลอยกระทง



หนังสือ 3 เล่ม

สุจิตต์ วงษ์เทศ. ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทง สมัยสุโขทัย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร :
พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์, 2539.


ธีญาภัทร์ ฟองไชย์. วันสำคัญของเรา. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร :
สถาพรบุ๊ค, 2547.


ธนกิต. วันสำคัญของไทย. พิมพ์ครั้ง 1. กรุงเทพมหานคร :

ชมรมเด็ก, 2541.



สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
วิชญ์พล วินิโย 5408248 ได้อนุญาตให้ใช้ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 International.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น